

โรค NCDs ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มเสื่อม หรือ กลุ่มเพี้ยน เป็นผลมาจาก ร่างกายมีความผิดปกติขึ้นในระดับเซลล์ หนึ่งในสาเหตุของความผิดปกติที่พบ ได้บ่อยคือการขาดวิตามิน
การใช้วิตามินเพื่อการบำบัดโรคใช้ใน 2 กรณี
1. ใช้เพื่อชดเชยการขาดวิตามิน
การใช้ในลักษณะนี้ใช้ในจำนวนเล็กน้อย ตามปริมาณที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนด...ก็พอเพียงในการชดเชยการขาดวิตามิน
2. ใช้ในปริมาณสูงเพื่อบำบัดโรค
การใช้ในลักษณะนี้ จะมีปริมาณมากกว่าที่ อย. กำหนด แพทย์ที่จะนำมาใช้ต้องมีความเชี่ยวชาญในโรคและปริมาณวิตามินที่จะนำมาบำบัด
วิตามินที่มีการนำมาใช้เพื่อบำบัดโรคมีหลายชนิด เช่น วิตามิน A, B, C, D และ E เป็นต้น
วิตามินที่ศูนย์พัฒนาเวลเนสโปรดักส์ นำมาใช้บำบัดโรค NCDs มากที่สุดคือ วิตามิน C
วิตามิน C...เพื่อการบำบัดโรค NCDs
ศูนย์ธรรมชาติบำบัดเวลเนสแคร์ มีการนำวิตามิน C มาบำบัดโรค ดังต่อไปนี้
-
โรคความดันโลหิตสูง...นำมาใช้ในกรณีที่วินิจฉัยว่ามีความดันโลหิตสูง เนื่องจากมีภาวะหลอดเลือดแข็งตัว จากการขาดวิตามินในอาหารอย่างต่อเนื่องยาวนาน ใช้ในปริมาณวันละ 1,000 มิลลิกรัม
-
โรคภูมิแพ้...นำมาใช้ร่วมกับพฤติกรรมบำบัด ทั้งการปรับเปลี่ยนอาหาร การออกกำลังกาย และลดความเครียดในจิตใจ ใช้ในปริมาณวันละ 2,000 มิลลิกรัม
-
โรคแพ้ภูมิตัวเอง... นำมาใช้ร่วมกับพฤติกรรมบำบัดเหมือนกับโรคภูมิแพ้ แต่ใช้ในระดับสูงมาก ปริมาณ 2,000 – 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน
-
โรคมะเร็ง... นำมาใช้ร่วมกับการปรับเปลี่ยนอาหารเป็นอาหารจำเพาะในมะเร็งแต่ละชนิด แต่ละระดับความรุนแรง ปริมาณที่ใช้ มีระดับสูงมาก ปริมาณ 3,000 – 8,000 มิลลิกรัมต่อวัน
ประเภทวิตามิน C ที่นำมาใช้
เน้นคุณสมบัติที่สำคัญมากในขบวนการผลิตแบบประเภท Time Release คือ การผลิตด้วยการเคลือบเม็ดไม่ต่ำกว่า 10 ชั้น เพื่อให้เกิดการย่อยและดูดซึมจากทางเดินอาหารแบบต่อเนื่องตลอด 12 ชั่วโมง ต่อการรับประทานอาหาร 1 ครั้ง เพื่อให้ระดับวิตามิน C ในกระแสเลือดมีระดับคงที่ตลอดเวลาในปริมาณที่เหมาะสมต่อการบำบัดโรคแต่ละชนิด
เนื่องจากวิตามิน C มีคุณสมบัติที่ละลายน้ำได้ดีมาก จะถูกขับถ่ายออกทางปัสสาวะหมดภายใน 2-4 ชั่วโมง หลังการรับประทาน... จึงทำให้ระดับวิตามิน C ในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการบำบัดโรค...วิตามิน C ชนิดที่ผลิตแบบ Time Release จึงถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาตามที่กล่าวมา
นอกจากผู้ใช้จะต้องมีความรู้ในการใช้วิตามิน C เพื่อบำบัดโรคNCDs แล้ว ยังต้องมีความรู้ในเรื่องคุณสมบัติของวิตามิน C และกรรมวิธีในการผลิตด้วย...การนำมาใช้จึงจะได้ผลดีมากยิ่งขึ้น

